บริการฉีดเชื้อผสมเทียม (IUI: Intra – Uterine Insemination)
เพราะหนึ่งในสาเหตุของปัญหาการมีบุตรยาก อาจเกิดจากการที่ตัวอสุจิไม่สามารถว่ายไปถึงไข่ได้ การทำ IUI จึงทำให้เชื้ออสุจิมีโอกาสเข้าไปผสมกับไข่ได้มากขึ้น
คลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก IVF & Women Clinic (IWC) บริการฉีดเชื้อผสมเทียม (IUI: Intra – Uterine Insemination) เพื่อรักษาภาวะมีบุตรยากและเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ สะดวก ปลอดภัย ใช้เวลาน้อย ไม่ยุ่งยาก ไม่เจ็บตัว ภาวะแทรกซ้อนต่ำ ทุกขั้นตอนดูแลอย่างใกล้ชิดโดยทีมแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์เจริญพันธุ์ที่มีประสบการณ์ในการรักษาผู้มีบุตรยากในโรงพยาบาลชั้นนำของประเทศ พร้อมให้คำปรึกษา รับฟังความต้องการ และวางแผนการรักษาให้เหมาะสมที่สุดกับท่าน ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย ได้มาตรฐานทั้งทางด้านการวินิจฉัยและการรักษาจนประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์และถึงวันที่ลูกน้อยลืมตาดูโลกเพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับครอบครัว
บริการฉีดเชื้อผสมเทียม
(IUI: Intra – Uterine Insemination) คืออะไร
การฉีดเชื้อผสมเทียม (Intra – Uterine Insemination) หรือ IUI คือ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์โดยการฉีดเชื้ออสุจิที่ผ่านการคัดเลือกว่ามีความสมบูรณ์ แข็งแรง และเคลื่อนตัวได้ดีที่สุดเข้าสู่โพรงมดลูกของฝ่ายหญิงในวันที่ไข่ตกพอดี โดยการทำ IUI จะเป็นการเก็บและคัดเลือกเชื้ออสุจิจากฝ่ายชายเพื่อฉีดเข้าสู่มดลูกของฝ่ายหญิงด้วยสายสวนผ่านทางปากมดลูกแล้วฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในโพรงมดลูกเพื่อช่วยลดอัตราการตายของตัวอสุจิ ทำให้อสุจิเข้าถึงท่อนำไข่และผสมกับไข่ได้มากขึ้น การทำ IUI จึงถือเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาภาวะมีบุตรยากที่ง่ายที่สุด และช่วยให้อสุจิสามารถผสมกับไข่ได้มากกว่าการผสมเองตามธรรมชาติ
ขั้นตอนการฉีดเชื้อผสมเทียม (IUI: Intra – Uterine Insemination)
ก่อนเริ่มฉีดเชื้อผสมเทียม
(IUI: Intra – Uterine Insemination)
1. เตรียมตัว
ฝ่ายหญิงและฝ่ายชายเข้ารับการตรวจสุขภาพร่างกาย และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เตรียมสภาพจิตใจให้พร้อมสำหรับการทำ IUI
2. ติดตามการตกไข่
แพทย์ติดตามการตกไข่ของฝ่ายหญิง โดยใช้ชุดตรวจฮอร์โมน LH หรือ อัลตราซาวด์
3. กระตุ้นรังไข่
แพทย์พิจารณาให้ยากระตุ้นรังไข่เพื่อเพิ่มจำนวนไข่ที่สมบูรณ์ เมื่อได้ฟองไข่ตามต้องการแล้วจึงฉีดยาให้ไข่ตก และนัดหมายวันทำ IUI
4. เก็บอสุจิ
ฝ่ายชายเก็บตัวอย่างอสุจิ ณ วันที่เข้ารับบริการฉีดเชื้อ
5. เตรียมเชื้ออสุจิ
นักวิทยาศาสตร์เตรียมเชื้ออสุจิโดยคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรง สมบูรณ์ และเคลื่อนตัวได้ดี
ระหว่างฉีดเชื้อผสมเทียม
(IUI)
6. ฉีดเชื้ออสุจิ
แพทย์ฉีดเชื้ออสุจิที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่โพรงมดลูกโดยใช้สายสวนสอดผ่านปากมดลูก
หลังฉีดเชื้อผสมเทียม (IUI: Intra – Uterine Insemination)
7. รอผลการตั้งครรภ์
รอประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อตรวจว่าตั้งครรภ์หรือไม่
โอกาสความสำเร็จของการฉีดเชื้อผสมเทียม (IUI: Intra – Uterine Insemination)
โอกาสความสำเร็จของ IUI
10 - 15 %
IUI คือ หนึ่งในวิธีรักษาภาวะมีบุตรยากที่มีความสะดวก ใช้เวลาน้อย และไม่เจ็บตัวเมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ จึงถือเป็นวิธีเริ่มต้นในการเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม การทำ IUI ให้ประสบความสำเร็จจนนำไปสู่การตั้งครรภ์นั้นจำเป็นต้องอาศัยความสมบูรณ์ของไข่ รังไข่ และมดลูกของฝ่ายหญิง รวมถึงคุณภาพอสุจิของฝ่ายชาย โดยฝ่ายชายควรมีตัวอสุจิที่แข็งแรงหลังการผ่านการคัดกรองแล้ว 1 ล้านตัวขึ้นไป โดยทั่วไปแล้ว อัตราความสำเร็จของการทำ IUI อยู่ที่ประมาณ 10-15% แม้อัตราการตั้งครรภ์จะน้อยกว่าการทำเด็กหลอดแก้ว IVF หรือ ICSI แต่การทำ IUI ก็มีขั้นตอนที่น้อยกว่าและมีค่าบริการต่ำกว่าด้วยเช่นกัน
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการฉีดเชื้อผสมเทียม (IUI: Intra – Uterine Insemination)
อัตราความสำเร็จในการทำ IUI จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยต่าง ๆ ทั้งจากฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ได้แก่
ฝ่ายชาย
ฝ่ายหญิง
ฝ่ายหญิง
ฝ่ายหญิง
ฝ่ายหญิง
ฝ่ายหญิง
ข้อควรปฏิบัติหลังจากฉีดเชื้อผสมเทียม (IUI: Intra – Uterine Insemination)
การทำ IUI คือ การรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากฝ่ายหญิงอย่างมาก ผู้เข้ารับการรักษาด้วยการทำ IUI จึงควรดูแลตนเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะในช่วงวันแรก ๆ เพื่อช่วยให้อสุจิเคลื่อนที่เข้าไปที่ท่อนำไข่ได้ดีขึ้นและเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ เช่น
หลังทำ IUI ฝ่ายหญิงควรนอนพักนิ่ง ๆ บนเตียงประมาณ 30 นาทีเพื่อให้อสุจิเดินทางไปถึงไข่ได้ง่ายขึ้น
งดการมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 1-2 วันแรกหลังทำ IUI เพื่อไม่ให้มดลูกถูกรบกวน และทำให้ตัวอ่อนฝังตัวได้ดีขึ้น
หลังจากทำ IUI ได้ 2-3 วัน แพทย์มักจะแนะนำให้ผู้ใช้บริการมีเพศสัมพันธ์ซ้ำเพื่อให้มีเชื้ออสุจิเข้าไปในโพรงมดลูกมากและเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์
งดทำงานหนัก ยกของหนัก หรือออกกำลังกายอย่างหักโหม รวมถึงประเภทที่ต้องมีการเกร็งหน้าท้อง เพราะอาจเสี่ยงต่อการแท้งจากการเกร็งตัวของมดลูก
หลีกเลี่ยงการขับรถหรือเดินทางไกล เพราะอาจทำให้มดลูกบีบตัวและส่งผลกระทบต่อกระบวนการฝังตัวอ่อน และเพื่อลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นรับประทานอาหารที่มีเส้นใยและย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารดิบ หรือกึ่งสุกกึ่งดิบ ยำ ส้มตำ ของดอง หรืออาหารทะเล เพราะหากเกิดท้องผูกหรือท้องเสียจะส่งผลต่อการเกร็งหน้าท้อง
รักษาสุขภาพให้แข็งแรง นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ทำใจให้สบาย ไม่เครียด
งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีทุกชนิด เช่น น้ำหอม เครื่องสำอาง สเปรย์ฉีดผม น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาถูพื้น สเปรย์ฉีดยุง หากจำเป็น ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กหรือสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
หากมีอาการเจ็บป่วยหรือมีอาการผิดปกติใด ๆ หลีกเลี่ยงการซื้อยามารับประทานเอง ควรปรึกษาแพทย์ทันที
ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดเชื้อผสมเทียม (IUI: Intra – Uterine Insemination)
ฝ่ายชาย:
- มีปัญหาสมรรถภาพทางเพศ หลั่งเร็ว
- มีปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย
- มีปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพและปริมาณอสุจิ เช่น ความเข้มข้นน้อย ปริมาณอสุจิน้อย อสุจิมีไม่แข็งแรงหรือเคลื่อนที่ได้ไม่ดีพอ
ฝ่ายหญิง:
- มีภาวะมีบุตรยาก เช่น ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ มีปัญหาการตกไข่
- มีปัญหาเกี่ยวกับอุ้งเชิงกราน เช่น ปากมดลูกหรือคอมดลูกตีบ แต่ไม่รุนแรง ซึ่งอาจส่งผลให้อสุจิเคลื่อนที่เข้าโพรงมดลูกได้ยาก
- มีภาวะไข่ไม่ตกเรื้อรังจากความผิดปกติต่าง ๆ เช่น กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)
- มีภาวะแพ้น้ำเชื้อ ทำให้ช่องคลอดแดงหรือระคายเคืองเมื่อสัมผัสน้ำเชื้อ
- ต้องการตั้งครรภ์ด้วยน้ำเชื้อที่แช่แข็งไว้ (Freezing Sperm)
ข้อดีของการฉีดเชื้อผสมเทียม (IUI: Intra – Uterine Insemination)
ราคาค่าบริการฉีดเชื้อผสมเทียม (IUI: Intra – Uterine Insemination) มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
ราคาค่าบริการฉีดเชื้อผสมเทียม (IUI: Intra – Uterine Insemination) มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่
ค่าใช้จ่ายในการทำ IUI จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละคลินิก โดยทั่วไปแล้ว ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 10,000-20,000 บาทเท่านั้น
ข้อแตกต่างของการทำ IUI และ GIFT
การฉีดน้ำเชื้อ IUI คือ วิธีเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์โดยการนำอสุจิจากฝ่ายชายมาผ่านขบวนการคัดเลือกและฉีดเข้าสู่โพรงมดลูกของฝ่ายหญิงในช่วงเวลาที่ไข่ตกในปริมาณที่พอเหมาะ แต่การทำกิฟต์ GIFT คือ การดูดเอาไข่ที่ถูกกระตุ้นออกมาจากรังไข่ของฝ่ายหญิงผ่านทางหน้าท้อง แล้วนำมาผสมกับตัวอสุจิที่ผ่านการคัดเลือก จากนั้นจึงนำกลับเข้าไปในท่อนำไข่เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิตามธรรมชาติ ดังนั้น ผู้เข้ารับการรักษาด้วยการทำ GIFT จึงต้องเข้าห้องผ่าตัด มีการใช้ยาสลบ มีการกรีดแผลเล็ก ๆ ที่หน้าท้อง และต้องนอนพักฟื้น 1 คืน ในขณะที่การฉีดเชื้อ IUI จะเป็นเทคนิคใหม่ที่ไม่เจ็บตัว พักฟื้นแค่ 1-2 ชั่วโมงก็กลับบ้านได้
ข้อแตกต่างของการทำ IUI และ IVF
การทำเด็กหลอดแก้ว IVF คือ การผสมไข่และอสุจิในจานเพาะเลี้ยง โดยปล่อยให้อสุจิเข้าผสมกับไข่เองตามธรรมชาติ และเพาะเลี้ยงตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการ ก่อนย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก ซึ่งถือเป็นการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย ส่วนการทำ IUI คือ การฉีดเชื้อผสมเทียมเข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรงเพื่อให้อสุจิเข้าถึงท่อนำไข่เพื่อผสมกับไข่ได้มากขึ้น
ถือเป็นวิธีการปฏิสนธิในร่างกาย ลดอัตราการตายของตัวอสุจิ
และเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์เช่นเดียวกับการทำ IVF ต่างกันตรงที่ IUI เป็นวิธีที่มีความซับซ้อนน้อยกว่า ใช้เวลาน้อยกว่า เจ็บตัวน้อยกว่า
และมีค่าบริการต่ำกว่า
ข้อแตกต่างของการทำ IUI และ ICSI
การทำ ICSI คือ เทคโนโลยีเพื่อการเจริญพันธุ์ที่เริ่มจากการกระตุ้นไข่และเก็บออกมาจำนวนหลายใบ เพื่อนำไข่และเชื้ออสุจิมาปฏิสนธิภายนอกร่างกาย มีการคัดเลือกอสุจิและไข่ที่ดีที่สุดมาผสมกัน โดยการฉีดอสุจิเข้าไปในไข่โดยตรง หลังจากนั้นจึงเพาะเลี้ยงให้เป็นตัวอ่อนและฉีดกลับเข้าสู่โพรงมดลูกเพื่อให้ตัวอ่อนฝังตัวที่มดลูก เป็นการสร้างโอกาสให้อสุจิได้ผสมกับไข่ได้ง่ายกว่าปกติ ส่วนการทำ IUI คือ เทคโนโลยีเพื่อการเจริญพันธุ์ที่มีการปฏิสนธิในร่างกายให้ไข่กับอสุจิผสมกันเองตามธรรมชาติ เริ่มต้นจากการกระตุ้นการตกไข่ จากนั้นจึงฉีดอสุจิที่เตรียมจากห้องปฏิบัติการและผ่านการคัดเลือกคุณภาพเข้าสู่โพรงมดลูกในวันที่ฝ่ายหญิงมีการตกไข่และปล่อยให้อสุจิกับไข่ปฏิสนธิกันเอง
คำถามที่พบบ่อย
ข้อแตกต่างของการทำ IUI และ ICSI
- Q: การทำ IUI เจ็บหรือไม่?
A: การทำ IUI โดยทั่วไปจะไม่เจ็บเท่ากับวิธีรักษาอื่น ๆ แต่ผู้เข้ารับบริการอาจรู้สึกอึดอัดหรือรู้สึกปวดบีบเล็กน้อยระหว่างขั้นตอนการฉีดเชื้อผสมเทียม IUI ที่มีการใช้สายสวน หรืออาจมีอาการระคายเคืองบริเวณช่วงคลอด แต่ส่วนใหญ่มักเกิดความรู้สึกไม่สบายตัวน้อยมาก
- Q: การทำ IUI ใช้เวลานานแค่ไหน?
A: การทำ IUI ใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที และหลังทำ IUI ฝ่ายหญิงควรนอนพักนิ่ง ๆ บนเตียงประมาณ 30 นาทีเพื่อให้อสุจิเดินทางไปถึงไข่ได้ง่ายขึ้น จากนั้นสามารถกลับบ้านและใช้ชีวิตได้ตามปกติ
- Q: การทำ IUI มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
A: ผลข้างเคียงที่พบบ่อยจากการทำ IUI คือ อาการปวดท้อง ท้องอืด กดเจ็บที่บริเวณช่องท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งเป็นผลจากการที่ร่างกายตอบสนองต่อยากระตุ้นมากเกินไป (OHSS: Ovarian Hyperstimulation Syndrome) ในกรณีที่ฝ่ายหญิงต้องใช้ยาหรือฉีดยาเพื่อกระตุ้นไข่ รวมถึงอาการคล้ายกับคนตั้งครรภ์ เช่น ปวดเกร็งท้องน้อย เต้านมคัด ปวดเมื่อยตามร่างกาย นอกจากนี้ยังอาจพบอาการนอนไม่หลับเนื่องจากความวิตกกังวลของผู้เข้ารับบริการได้บ้าง แต่อาการเหล่านี้จะหายไปเองและไม่มีผลข้างเคียงในระยะยาว
- Q: การทำ IUI ปลอดภัยหรือไม่?
A: การทำ IUI เป็นวิธีการที่ปลอดภัย ลดความเสี่ยงและการติดเชื้อจากการผ่าตัด แต่อาจมีภาวะแทรกซ้อนได้บ้าง เช่น การตั้งครรภ์แฝด มีเลือดออกหรือติดเชื้อหลังการทำ IUI ซึ่งพบได้น้อยมาก รวมถึงการตั้งครรภ์แฝดที่มักจะเสี่ยงต่อการแท้งลูก คลอดก่อนกำหนด และทารกน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์
- Q: การทำ IUI มีข้อจำกัดหรือไม่
A: การทำ IUI มีข้อจำกัดอยู่บ้าง เช่น ไม่เหมาะกับฝ่ายหญิงที่มีการตัดต่อนำรังไข่ทั้ง 2 ข้าง หรือทำการผูกท่อนำรังไข่ทั้ง 2 ข้างแล้ว มีการอักเสบหรือติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน รวมถึงมีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ขั้นรุนแรง
- Q: ภาวะแทรกซ้อนของการทำ IUI มีอะไรบ้าง
A: อาการแทรกซ้อนที่พบได้บ้างจากการทำ IUI ได้แก่ อาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องบวม คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะออกน้อยลง หายใจไม่อิ่ม หายใจลำบาก มีเลือดออกจากอวัยวะเพศ การอักเสบ การติดเชื้อ หรือฟกช้ำ รวมถึงภาวะแทรกซ้อนจากการกระตุ้นรังไข่ เช่น ภาวะรังไข่โต ภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นเกินขนาด (OHSS) หรือเกิดการติดเชื้อจากการฉีดอสุจิ แต่ปัญหาเหล่านี้สามารถป้องกันได้ด้วยการเลือกใช้บริการกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย และดำเนินการโดยบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น